วันวิสาขบูชา: วันที่ระลึกการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า

Three major events in the Buddha’s life – birth, enlightenment, and passing away – which constitute the Vesak Day celebration (photo credit: https://bit.ly/3saDrN6)  

วันวิสาขบูชาคือวันอะไร
วันวิสาขะคือวันขึ้น 15 ค่ำอยู่ในช่วงเดือนเมษายน-พฤษภาคมตามจันทรคติ เป็นวันเพ็ญเดือน 6 ที่ชาวพุทธเราฉลองเพื่อรำลึกการประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ซึ่งถือเป็นวันสำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ชาวพุทธจะแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวทีต่อพระพุทธเจ้าผู้ที่ได้ทรงประทานพุทธธรรมไว้ให้ และชาวพุทธเราได้ดำเนินชีวิตเพื่อประโยชน์สุขของตนเองและผู้อื่นไปพร้อม ๆ กันตามแนวคำสอนที่ประเสริฐของพระพุทธองค์ คำว่า “วิสาขะ” นี้ในภาษาอังกฤษอาจพบที่เขียนกันอยู่หลายแบบ เช่น Vesak ซึ่งใช้กันแพร่หลายที่สุดในโลก Vesakha และ Vaishakha ส่วนในประเทศอินเดียและเนปาลมักเรียกวันวิสาขะว่าพุทธชยันตี (Buddha Jayanti) แปลว่า วันที่ระลึกถึงวันประสูติของพระพุทธเจ้าบ้าง พุทธปุรณิมา (Buddha Purnima) หมายถึงการบูชาพระพุทธเจ้าในวันเพ็ญเดือนวิสาขะบ้าง หรือเรียกรวม ๆ กันว่าวันพระพุทธเจ้าบ้าง (Buddha Day) ส่วนในประเทศไทยเราเรียกกันว่าวันวิสาขบูชา (Visakha Buja Day) นับตั้งแต่ พ.ศ. 2543 เป็นต้นมาองค์การสหประชาชาติได้จัดงานฉลองวันวิสาขะที่สำนักงานใหญ่ขององค์การฯ ในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นประจำทุกปีเพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธเจ้าที่มีต่อโลกด้วย

พระพุทธเจ้าคือใคร คำว่า พุทธะ แปลว่า ผู้ตรัสรู้ (Enlightened One หรือ Awakened One) ไม่ใช่เป็นชื่อจริง แต่เป็นสมญานามที่ในประวัติศาสตร์ของโลกได้กราบถวายแด่มหาบุรุษผู้ฉลาดหลักแหลมยิ่งจนสามารถรู้แจ้งถึงวิธีดับทุกข์สร้างสุขแทนได้ มหาบุรุษท่านนี้คือเจ้าชายสิทธัตถะผู้ได้ถือครองเพศนักบวชเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษาแล้วเสาะแสวงหาจนพบโมกขธรรม (หรือโมกษธรรม หรืออมตธรรม) เมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา หลังจากนั้นก็ทรงได้รับการถวายพระนามว่าพุทธะหรือพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์สิทธัตถะประสูติในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ เป็นพระโอรสของพระเจ้าสุทโทธนะและพระนางสิริมหามายา ผู้ครองแคว้นศากยะ (อยู่ในประเทศเนปาลปัจจุบัน) มีกบิลพัสดุ์เป็นเมืองหลวง แคว้นศากยะตั้งอยู่บริเวณเชิงเทือกเขาหิมาลัย

การขุดค้นทางโบราณคดีทำให้พบซากเมืองกบิลพัสด๋ ซึ่งปัจจุบันชื่อติเลาราโกฏ (Tilaurakot) อยู่ในประเทศเนปาล (ภาพจาก https://bit.ly/3KBgYiq)
วัดพระนางมายา (Maya Devi Temple หรือ Lumbini Temple) สร้างคร่อมสถานที่ประสูติเจ้าชายสิทธัตถะที่ลุมพินี (Lumbini) ซึ่งปัจจุบันเป็นแหล่งมรดกโลกด้วย (UNESCO world heritage site) (เอื้อเฟื้อภาพโดยสถานเอกอัครราชทูตเนปาลที่กรุงเทพฯ)
การขุดค้นทางโบราณคดีในวัดพระนางมายาได้พบชั้นดินก่อสร้างเก่า ๆ หลายชั้น บางชั้นเก่าแก่ถึงสมัยพุทธกาล (ภาพจาก https://bit.ly/3MJPKHP)
(ภาพจาก https://bit.ly/3vAt3QG)

ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ พระโพธิสัตว์สิทธัตถะเป็นราชกุมารที่ฉลาดหลักแหลม (prodigy) มีพระอุปนิสัยอ่อนโยนและมีพระกรุณาสูงมาก

ในฐานะเจ้าชายได้ทรงศึกษาศิลปะวิทยาหลายแขนงเพื่อเตรียมตัวเป็นผู้ปกครองที่สามารถ และในขณะเดียวกันก็ทรงศึกษาคัมภีร์ในศาสนาพราหมณ์/ฮินดูด้วย เช่น คัมภีร์พระเวท (Vedas) คัมภีร์เวทางค์ (Vedangas) และคัมภีร์อุปนิษัท (Upanishads) ซึ่งในคัมภีร์อุปนิษัทนี้เองพระองค์ทรงสนพระทัยหลายเรื่อง เช่น เรื่องวงจรการตายแล้วเกิด เกิดแล้วตาย อย่างไม่มีที่สิ้นสุด (สังสารวัฏ) และเรื่องการหลุดพ้นจากสังสารวัฏ (ภาษาบาลีเรียกว่าโมกขะ หรือภาษาสันสกฤตเรียกว่าโมกษะ moksha)

พระเจ้าสุทโธทนะได้จัดสรรสิ่งบำรุงบำเรอต่าง ๆ นานาให้เจ้าชายสิทธัตถะเพื่อให้สนใจการใช้ชีวิตทางโลกมากกว่าทางธรรม ด้วยทรงหวังจะให้พระโอรสเป็นผู้ปกครองเหมือนพระองค์ เช่น มีตำหนักให้ประทับสามหลังสำหรับสามฤดู เป็นต้น แต่เจ้าชายสิทธัตถะกลับสนพระทัยเรื่องโมกขะมากกว่า คือ การแก้ปัญหาว่าทำอย่างไรจึงจะตายแล้วไม่เกิดอีก หรือหลุดพ้นจากสังสารวัฏ

เมื่อพระชนมายุ 16 พรรษา พระเจ้าสุทโธทนะกับพระนางสิริมหามายาก็จัดให้เจ้าชายสิทธัตถะทรงเข้าพิธีวิวาห์กับเจ้าหญิงยโสธรา (หรือพิมพา หรือโคปา) และเมื่อพระชนมายุ 29 พรรษาทรงมีพระโอรสด้วยกันพระนามว่าราหุล

เมื่อพระชนมายุ 29 พรรษานี้เอง เจ้าชายสิทธัตถะได้ขออนุญาตพระชายากับพระบิดาและพระมารดาเพื่อไปใช้ชีวิตแบบนักบวชเพื่อแสวงหาโมกขะ พระองค์ตรัสกับพระนางพิมพาว่า “แม้จะต้องจากเจ้าไป จะไม่ได้อยู่เคียงข้าง แต่ความรักที่มีต่อเจ้าจะยังคงเหมือนเดิม จะรักเจ้าตลอดไป และเมื่อเราพบโมกขะแล้ว จะรีบนำเอากลับมาหาเจ้าและลูกรักของเรา” พระองค์ก็กราบบังคมทูลขอพระราชานุญาตทำนองเดียวกันว่า “ลูกไม่มีวันทิ้งพระบิดาและพระมารดา ลูกเพียงขอพระราชานุญาตไปใช้ชีวิตแบบนักบวชเพื่อแสวงหาโมกขะเท่านั้น ทันทีที่พบโมกขะ ลูกจะรีบกลับมา”[i]

หลังจากนั้น พระโพธิสัตว์สิทธัตถะก็เสด็จออกไปใช้ชีวิตแบบนักบวชเพื่อแสวงหาโมกขะ ทรงศึกษาเพิ่มเติมกับพระอาจารย์ตามสำนักต่าง ๆ และทรงทดลองภาคปฏิบัติแนวทางสำหรับโมกษะอย่างจริงจังยิ่ง (ทุกกรกิริยา) อยู่ 6 ปี ก็ทรงประจักษ์ว่าแนวทางที่ปฏิบัติอยู่นั้นไม่ใช่แนวทางที่ถูกต้องสำหรับโมกขะ (อาจเปรียบเหมือนกับการทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่มักจะต้องพบก่อนว่าวิธีการที่ทำการทดลองอยู่นั้นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง ไม่ได้ผลตามที่ต้องการ แล้วนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ก็จะคิดค้นหาทดลองวิธีอื่น ๆ ต่อไป จนกว่าจะประสบความสำเร็จ) ทรงเลิกทำทุกกรกิริยา เปลี่ยนไปทำสมาธิมากขึ้น และเสวยพระกระยาหารแต่พอประมาณเพื่อให้พระวรกายไม่อ่อนแอและจิตเป็นสมาธิได้ง่ายขึ้น

เมื่อถึงวันขึ้น 15 ค่ำในเดือนวิสาขะทรงนั่งใต้ต้นปีปัลแล้วตั้งพระทัยแน่วแน่ที่จะนั่งทำสมาธิไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบโมกขะ

ทั้งนี้ ต้นไม้ที่พระองค์ทรงนั่งอธิษฐานจิตที่โคนนี้เรียกในภาษาอินเดียพื้นเมืองว่า “ปีปัล” และต่อมาเรียกว่าต้นโพธิ – ซึ่งเป็นคำที่มาจากภาษาบาลีว่า โพธิ หรือโพธิญาณ หรือสัมโพธิญาณ หรือสัมมาสัมโพธิญาณ ที่ล้วนหมายถึงการรู้แบบค้นพบลักษณะนี้เป็นคนแรก

เหตุการณ์สำคัญยิ่งในคืนวันเพ็ญเดือนวิสาขะอาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า เมื่อทรงตั้งพระทัยที่จะค้นให้พบโมกขะแล้ว (ทั้งนี้ โมกขะคือการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด ตายแล้วจะไม่เกิดอีก อาจเรียกว่าอมตธรรมก็ได้ ซึ่งหมายถึงความรู้ที่ทำให้ตายแล้วไม่เกิดอีก) ก็ทรงนั่งทำสมาธิจนจิตใจสงบรวมตัวเป็นพลังได้มากแล้ว จึงส่งกระแสพลังจิตไปดูอดีตชาติต่าง ๆ ที่นับไม่ถ้วนของพระองค์เอง คือ เคยเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งแล้วตาย แล้วเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอีก เวียน ๆ ซ้ำ ๆ กันอยู่อย่างนี้ จนนับไม่ถ้วน (เรียกว่าทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณ) ต่อจากนั้น ก็ทรงส่งกระแสพลังจิตไปดูการเกิดและตายลักษณะเดียวกันนี้ของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ บ้าง ก็ทรงเห็นได้มากมายตราบเท่าที่ทรงประสงค์จะเห็น (เรียกว่าทรงบรรลุจุตูปปาตญาณ) และในท้ายที่สุดทรงส่งพลังจิตไปหาจนพบปฐมเหตุว่าที่เวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นั้นพราะยังมีราคะ โทสะ โมหะ จึงทำกรรมทั้งดีและชั่วปะปนกัน จึงเกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิดอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เกิดดีบ้าง เกิดเลวบ้าง ถ้าจะตายแล้วไม่ต้องเกิดอีก จะต้องละราคะ โทสะ และโมหะให้ได้ (เรียกว่าทรงบรรลุอาสวักขยญาณ)

เมื่อทรงบรรลุอาสวักขยญาณนี้ พระองค์ตรัสว่าเราได้ทรงค้นพบโมกขะหรืออมตธรรมแล้ว และเมื่อดับขันธ์ปรินิพพาน (คือ การตายของพระพุทธเจ้า) แล้วพระองค์จะไม่เกิดอีก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของพระองค์

พวกเราชาวพุทธเรียกการค้นพบอมตธรรมนี้ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ซึ่งมีในคืนวันขึ้น 15 ค่ำเดือนวิสาขะ

พระมหาโพธิสถูปเป็นพระสถูปประธานในวัดมหาโพธิ (Mahabodhi Temple Complex) ที่สร้างขึ้นบนสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในรัฐพิหาร (ในสมัยพุทธกาลเรียกว่าแคว้นมคธ) ซึ่งเป็นแหล่งมรดกโลกด้วย (ภาพจาก https://bit.ly/3LCwwnm)

ภายในพระมหาโพธิสถูปเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่ชาวพุทธจำนวนมากจากทั่วโลกมาสักการะบูชาในแต่ละวัน (ภาพจาก https://bit.ly/3y3qQz1)
ต้นโพธิที่เชื่อกันว่าเกิดตายต่อกันมาเป็นรุ่นที่ 4 แล้วซึ่งพระพุทธเจ้าทรงประทับนั่งตรัสรู้อยู่หลังติดกับพระมหาโพธิสถูป (ภาพจาก https://bit.ly/3KrGcQo)

หลังจากตรัสรู้แล้ว พระพุทธเจ้าทรงเที่ยวสั่งสอนแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีกว่าตั้งแต่ธรรมะสำหรับฆราวาสใช้ในการดำเนินชีวิตปกติให้มีความสุข ความสำเร็จ และเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวมจนถึงอมตธรรมสำหรับนักบวชอยู่เป็นเวลา 45 ปี ทรงตั้งชุมชนตัวอย่างขึ้นมาเรียกว่าชุมชนพุทธ (พุทธสาวก) ซึ่งประกอบด้วยนักบวชผู้ชาย (ภิกษุและสามเณร) นักบวชผู้หญิง (ภิกษุณีและสามเณรี) ฆราวาสชาย (อุบาสก) และฆราวาสหญิง (อุบาสิกา) แล้วทรงวางกฎให้สมาชิกของชุมชนต้องปฏิบัติ เช่น อุบาสกและอุบาสิกาต้องมีศีล 5 สามเณรต้องมีศีล 10 พระภิกษุต้องมีศีล 227 ข้อ พร้อมกับทรงชี้แนะแนวทางการดำเนินชีวิตที่ดีประเสริฐ (ธรรมะ) ต่าง ๆ มากมาย เป็นต้น

เมือพระชนมายุ 80 พรรษา พระองค์ทรงปรินิพพานในสวนต้นสาละ (สาลวโนทยาน) ที่เมืองกุสินารา (ปัจจุบันเป็นอำเภอเรียกว่ากุศินคร Kushinagar) อยู่ในรัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย) โดยในขณะที่ทรงประทับอยู่บนเตียงปรินิพพานนั้น ได้ตรัสบอกความจริงของชีวิตและให้กำลังใจแก่เหล่าสาวกเป็นครั้งสุดท้ายว่ากฎและธรรมะสำหรับการใช้ชีวิตที่ดีประเสริฐที่พระองค์ได้ชี้แนะพร่ำสอนมาตลอดนั้นจะเป็นครูอาจารย์แทนพระองค์ตลอดไป และขอให้เหล่าสาวกรู้ว่าร่างกายของคนเรานั้นต้องเสื่อมต้องสิ้นไปเป็นธรรมดา ไม่คงอยู่ถาวรได้ ดังนั้น ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ขอให้ตั้งใจใช้ชีวิตอย่างมีสติทำดีทุกเมื่อ อย่าได้ประมาทเด็ดขาด เพราะถ้าทำได้อย่างนี้ ทุกคนก็จะสามารถบรรลุอมตธรรมได้ดังหวัง

พระพุทธเจ้าทรงปรินิพพานในวันเพ็ญของเดือนวิสาขะเช่นกัน

วัดมหาปรินิพพาน (Mahaparinibbana temple อาคารเตี้ย) และพระสถูปยุคใหม่สร้างอยู่ในสวนที่เป็นที่ปรินิพพานของพระพุทธเจ้าที่เมืองกุศินคร ประเทศอินเดีย (เอื้อเฟื้อภาพโดยพระสงฆ์ไทยในอินเดีย )
พระพุทธรูปปางปรินิพพานประดิษฐานอยู่ในพระสถูป (เอื้อเฟื้อภาพโดยนายธีรวัส บำเพ็ญบุญบารมี)

อะไรคือพุทธมรดก

คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าคือพุทธมรดก หรือจะกล่าวว่าพระพุทธศาสนาคือพุทธมรดกก็ได้ หรือจะเรียกว่าธรรมะเฉย ๆ ก็น่าจะยังได้ คำว่าธรรมะในที่นี้หมายถึงสองอย่าง คือ สภาวะความจริงตามที่มันเป็น และคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ชี้แนะความจริงเหล่านั้นจนผู้ปฏิบัติสามารถมีประสบการณ์ที่ดีกับความจริงเหล่านั้นได้

คำสอนของพระพุทธเจ้ามีมากกว่า 80,000 เรื่อง ขอยกมากล่าวถึงเฉพาะหัวข้อ 6 เรื่องเท่านั้น คือ

  1. ศีล 5 ที่ชาวพุทธฆราวาสทั้งชายและหญิงต้องมีในการดำเนินชีวิต (Five Precepts)
  2. วิธีสร้างความสำเร็จและความสุขทั้งต่อตนเองและผู้อื่นจำนวน 38 วิธี (Mangala Sutta)
  3. กรรม (Kamma)
  4. อริยสัจ 4 (Four Noble TruthsFour Noble Truths
  5. มรรค 8 (Noble Eightfold Path)
  6. การทำสมาธิ (Meditation) ทั้งนี้ ผู้อ่านอาจอ่านเรื่องนี้เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ของมูลนิธิไทย (Thailandfoundation.or.th) ที่นี้

นอกจากนี้ ผู้อ่านอาจอ่านสรุปสาระสำคัญของพระพุทธศาสนาได้ที่นี้ ซึ่งมี 3 ประเด็น คือ การไม่ทำบาปทั้งปวง การทำบุญกุศลให้มากขึ้น และการค่อย ๆ ลดความรู้สึกไม่ดีทั้งหลายทั้งปวงจนสามารถชำระจิตใจให้สะอาดหมดจดได้ กล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือจิตใจต้องไม่ตกเป็นทาสของความคิดฝ่ายบาปอกุศล โดยต้องมีความรู้สึกสงบและเป็นสุขให้ได้มากที่สุดจนตลอดเวลาได้ก็ยิ่งดี (ผู้อ่านอาจอ่านบทความสั้น ๆ เกี่ยวกับพระพุทธศาสนาในเว็บไซต์ของบีบีซีได้ที่นี้ และหนังสือ “พุทธรรม” โดยสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้ที่นี้

การฉลองวันวิสาขบูชา

ประเทศต่าง ๆ ที่นับถือพระพุทธศาสนาจะจัดงานวิสาขบูชา แต่รูปแบบของงานอาจแตกต่างกันบ้าง เช่น ชาวพุทธในประเทศอินเดีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย มองโกเลีย สิงคโปร์ ศรีลังกา และเวียดนาม อาจจุดเทียนบูชาพระพุทธเจ้า หรือไม่ก็ทำประทีบโคมไฟปล่อยขึ้นสู่ท้องฟ้า ส่วนชาวพุทธญี่ปุ่นและชาวพุทธจีนอาจฉลองวันวิสาขบูชาด้วยการสรงน้ำพระพุทธรูป เป็นต้น

 

พระภิกษุชาวเวียดนามกำลังนำชาวพุทธเวียดนามประกอบพิธีวิสาขบูชาที่ประเทศเวียดนาม (ภาพจาก https://bit.ly/3Ft6e53)
พระภิกษุกำลังปล่อยโคมไฟในงานวิสาขบูชาที่บริเวณเจดีย์บรมพุทโธในประเทศอินโดนีเซีย (ภาพจาก https://bit.ly/3ycG70h)
ไฟประดับติดตั้งตามสถานที่ต่าง ๆ ในประเทศศรีลังกาเพื่อฉลองวันวิสาขบูชา (ภาพจาก https://bit.ly/3FdL9v2)
ชาวพุทธมาเลเซียกำลังช่วยกันขึงผ้าภาพวาดทางพระพุทธศาสนาในงานวันวิสาขบูชาที่วัดธิเบตนอกกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 (ภาพจาก https://bit.ly/3ORvXIk)
ชาวญี่ปุ่นนิยมสรงน้ำพระพุทธรูปในวันวิสาขบูชา (ภาพจาก https://bit.ly/3saADPS)
ปัจจุบันองค์การสหประชาชาติได้จัดงานวันวิสาขบูชาที่สำนักงานใหญ่ขององค์การฯ ที่มหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกาด้วย (ภาพจาก https://bit.ly/38E40mO)

สำหรับประเทศไทย ชาวพุทธไทยเราให้ความสำคัญกับวันวิสาขบูชามาก ส่วนใหญ่จะไปวัดทำบุญกันตั้งแต่เช้า มีการรับศีลจากพระ ตักบาตรพระสงฆ์หรือไม่ก็ถวายอาหารเช้าแด่พระ และฟังเทศน์ พอถึงเวลาบ่ายหรือไม่ก็เวลาเย็นหรือหัวค่ำ ก็จะไปเวียนเทียนที่วัดอีกครั้ง แต่ก็มีบ้างเหมือนกันที่ไปวัดเฉพาะเวลาเช้าหรือบ่ายเย็นแต่เพียงเวลาเดียว

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัววชิรเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเวียนเทียนในวันวิสาขบูชาที่วัดพระแก้ว (ภาพจาก https://yhoo.it/3ku4L4M)
พระภิกษุกำลังเตรียมเดินนำอุบาสกและอุบาสิกาในพิธีเวียนเทียนวันวิสาขบูชาที่วัดพระธรรมกาย (ภาพจาก https://yhoo.it/3MC5Ymm)
อุบากสกและอุบาสิกาชาวไทยกำลังเดินเวียนเทียนรอบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามในวันวิสาขบูชา (ภาพจาก https://bit.ly/3s8fnKQ)

.

นอกจากนี้ การฉลองวันวิสาขบูชายังอาจหมายถึงการพยายามทำสิ่งดี ๆ ให้สังคมด้วย อาทิ การแบ่งปันความสุข และช่วยเหลือผู้อื่นในลักษณะต่าง ๆ ดังเช่นที่สภากาชาดไทยได้เชิญชวนประชาชนให้บริจาคโลหิตในวันวิสาขบูชา (ภาพจาก
(photo credit:  https://bit.ly/3MR3PmU)

          ในวันวิสาขบูชา พ.ศ. 2565 นี้ ผู้เขียนขอเชิญชวนผู้อ่านทุกท่านได้พร้อมใจกับชาวพุทธทั่วโลกประมาณ 500 ล้านคนร่วมฉลองวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพานของพระพุทธเจ้าด้วยวิธีการต่าง ๆ เช่น การทำความดีให้ตัวเราเองและคนอื่น ๆ มีความสุข การมีความกรุณาต่อตนเองและคนอื่นด้วยไปพร้อม ๆ กัน การให้อภัยต่อตัวเองและคนอื่น ๆ ด้วยไปพร้อมกัน เพราะคนเราแม้จะมีความเชื่อแตกต่างกันก็ควรหาแนวทางที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข ความอดกลั้นและความใจกว้างยอมรับสิ่งอื่น ๆ ที่แตกต่างออกไปเป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งของการมีสันติสุข และเราควรฉลองวันวิสาขบูชากันในลักษณะนี้ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงกล่าวให้กำลังใจไว้ว่า ผู้ที่คิดว่าตัวเองทำได้จะทำได้

………………

หนังสืออ้างอิงหลัก:

  1. Ajahn Jayasaro. Without and Within: Questions and Answers on the Teachings of Theravada Buddhism. Amarin printing and publishing Plc. 2014.
  2. Harris, Ian Ph.D. The Complete Illustrated Encyclopedia of Buddhism. HH Hermes House.

แปลปรับขยายจากบทความภาษาอังกฤษโดย  ดร. ไพฑูรย์ สงค์แก้ว
9 May 2022

Share: